Wednesday, June 30, 2010

ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วลดความเสี่ยงโรคเกาต์

Photobucket

บีบีซีนิวส์ - นักวิจัยแคนาดาพบการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วขึ้นไป อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บปวดทรมานจากโรคเกาต์

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบียในแคนาดา พบว่ากรดยูริกในเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคเกาต์ ลดลงในคนที่ดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว แต่ไม่พบผลลัพธ์แบบเดียวกันในกลุ่มคนที่ดื่มชา บ่งชี้ว่าคาเฟอีนไม่ใช่ปัจจัยของเรื่องนี้

ปัจจุบัน คนอังกฤษเป็นโรคเกาต์กว่า 600,000 คน และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อาการของโรคเกาต์คือ ปวดตามข้อ โดยเฉพาะข้อเท้า ซึ่งเกิดจากการที่กรดยูริกตกตะกอนและสะสมภายในข้อ

เชื่อกันว่า การดื่มเบียร์มากเกินไป หรือกินเนื้อแดงมากเกินไป น่าจะเป็นสาเหตุของโรคเกาต์

วิธีรับมือกับโรคนี้หลักๆ คือ กินยาแก้อักเสบ เปลี่ยนอาหาร และดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับกรณีที่มีอาการรุนแรง อาจต้องกินยาที่แรงขึ้นเพื่อลดระดับกรดยูริกในเลือด

งานวิจัยชิ้นล่าสุดที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารอาร์ทริทิส แคร์ แอนด์ รีเสิร์ช ศึกษาจากพฤติกรรมการกินของกลุ่มตัวอย่างชาย-หญิง 14,000 คน ระหว่างปี 1988-1994 และนำข้อมูลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับผลการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับกรดยูริก

นักวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น มีแนวโน้มมีกรดยูริกในเลือดต่ำกว่าคนที่ดื่มกาแฟวันละแก้วเดียวหรือแค่ 2-3 แก้ว

อย่างไรก็ดี ไม่พบผลลัพธ์แบบเดียวกันในคนที่ดื่มชา แต่พบในกลุ่มที่ดื่มกาแฟปลอดคาเฟอีน บ่งชี้ว่าคาเฟอีนอาจไม่ใช่ส่วนผสมสำคัญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นี้

นักวิจัยอธิบายว่า การดื่มกาแฟอาจทำให้ระดับอินซูลินในเลือดลดลง และมีความเกี่ยวโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของอินซูลินกับการเพิ่มขึ้นของกรด ยูริก

อนึ่ง ผลวิจัยนี้สนับสนุนรายงานอีกฉบับของนักวิจัยญี่ปุ่น ที่ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กกว่า

ดร.แอนดริว แบมจี ที่ปรึกษาโรคข้อ และประธานบริติช โซไซตี ออฟ รูมาโตโลจี แสดงความคิดเห็นว่า ไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดการดื่มกาแฟจึงจะไม่ช่วยลดระดับกรดยูริกในเลือด แม้ว่านี่จะเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่ให้ข้อสรุปแบบนี้ก็ตาม

กระนั้น ดร.แบมจีแย้งว่า ยังไม่แน่ว่าการที่กรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุของโรคเกาต์ เนื่องจากบางคนมีกรดยูริกสูงตลอดชีวิต แต่ไม่เคยเป็นโรคเกาต์เลย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ

พบกาแฟออกฤทธิ์กู้ความจำเสื่อมให้กลับคืนมาได้



Photobucket

นักประสาทวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ พบว่า หากดื่มกาแฟสักวันละ 5 ถ้วย จะสามารถผลักดันอาการของโรคสมองเสื่อม ให้ถอยกลับไปได้..

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างวารสารวิชาการ "โรคสมองเสื่อม" ของสหรัฐฯ แจ้งว่า นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้พบว่า หากดื่มกาแฟสักวันละ 5 ถ้วย จะสามารถผลักดันอาการของโรคสมองเสื่อม ให้ถอยกลับไปได้ โดยนักวิจัยที่รัฐฟลอริดา พบหลักฐานในการศึกษากับหนู ซึ่งถูกเพาะขึ้นให้เป็นโรค ส่อว่าสารคาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขัดขวางการเกิดคราบโปรตีนในสมอง ซึ่งเป็นเครื่องหมายประกาศของโรคสมองเสื่อม แต่หมออังกฤษรีบท้วงว่า ผู้ป่วยอย่าเพิ่งด่วนไปซื้ออาหารเสริมที่เข้าคาเฟอีนมากิน

อย่างไรก็ดี ดร.แกรี อเรนแดช หัวหน้านักวิจัย กล่าวว่า ความรู้ใหม่นับว่าเป็นหลักฐานแสดงว่า ใช้คาเฟอีนเป็นยารักษาโรคสมองเสื่อมได้ เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันได้อย่างเดียว ต้องถือว่าเป็นของสำคัญเพราะคาเฟอีนนับเป็นยาที่ปลอดภัยกับคนส่วนใหญ่ที่สุด มันออกฤทธิ์ต่อสมองเร็ว และดูเหมือนจะเข้าจัดการกับโรคโดยตรง

ทั้งนี้ หนูทดลองที่เป็นโรค เมื่อได้กินน้ำใส่คาเฟอีน ซึ่งเทียบเท่ากับที่คนเราดื่มกาแฟในถ้วยซึ่งมีคาเฟอีนปนอยู่ 227 กรัม วันละ 5 ถ้วย พวกหนูปรากฏว่าคราบโปรตีนที่จับสมองอยู่ ได้เบาบางลง นอกจากนั้นมันยังแสดงให้เห็น มีความจำและคิดได้ไวขึ้น โดย ดร.แกรีกล่าวสรุปว่า ผลการศึกษาน่าสนใจตรงที่ว่า มันสามารถทำให้อาการความจำเสื่อมที่เป็นอยู่ก่อน ซึ่งยากจะฟื้น ให้กลับคืนมาได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

Tuesday, June 29, 2010

ข่าวดีคอชา-กาแฟ ดื่มประจำลดความเสี่ยงมะเร็งตับ



Photobucket

เอเจนซี - ข่าวดีส่งท้ายปีสำหรับคนรักกาแฟและชา นักวิจัยจากอเมริการะบุเครื่องดื่มสองประเภทนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง ตับได้

อย่างไรก็ดี การค้นพบนี้ซึ่งเป็นผลจากการวิเคราะห์รายงานการวิจัย 13 ฉบับ ชี้ว่านม น้ำอัดลม และน้ำผลไม้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ในงานวิจัยเหล่านี้ คนที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วขึ้นไปมีโอกาสเป็นมะเร็งตับลดลง 16% เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มกาแฟวันละแก้วเดียว ขณะที่คนที่ดื่มชาวันละแก้วเดียว (8 ออนซ์) มีความเสี่ยงน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย 15%

รายงานล่าสุดที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารอินเตอร์เนชันแนล เจอร์นัล ออฟ แคนเซอร์ ไม่ได้ระบุว่ากาแฟหรือชาช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งตับโดยตรง กระนั้น ดร.จุงเอินลี จากฮาร์วาร์ด เมดิคัล สกูลในบอสตัน เสริมว่าเหตุผลที่อาจนำมาอธิบายเรื่องนี้ได้มีอาทิ กาแฟและชาอาจทำให้ร่างกายมีความรู้สึกไวขึ้นต่ออินซูลิน ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่ามีผลต่อความเสี่ยงมะเร็งตับ

นอกจากนั้น กาแฟและชายังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยปกป้องเซลล์ตับจากมะเร็ง

ในการศึกษานี้ นักวิจัยได้รวบรวมผลการวิจัยระยะยาว 13 ชิ้น ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิง 530,469 คน และชาย 244,483 คน ในการวิจัยแต่ละชิ้นมีการเก็บข้อมูลโภชนาการของกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่เริ่ม ต้นและติดตามผลเป็นเวลา 7-20 ปี

กาแฟและชามีส่วนเกี่ยวพันกับการลดลงของความเสี่ยงมะเร็งตับ แม้เมื่อนักวิจัยพิจารณาปัจจัยอื่นที่มีผลต่อความเสี่ยงนี้ร่วมด้วย เช่น โรคอ้วน การสูบบุหรี่ และความดันโลหิตสูง

อย่างไรก็ตาม การดื่มชาอาจไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่

ในการศึกษาที่นำโดยดร.ปินหวังจากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์นานกิง ได้มีการนำผลวิจัย 8 ฉบับมาวิเคราะห์ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มชากับมะเร็งรังไข่ โดยผลวิจัย 7 ฉบับมาจากตะวันตก ส่วนฉบับสุดท้ายเป็นงานของนักวิจัยจีน ประเทศที่คนส่วนใหญ่ดื่มชาเขียว

รายงานที่อยู่ในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ ออปสเตทริกส์ แอนด์ ไกเนอโคโลจี แจงว่าการดื่มชาในการศึกษาเหล่านี้มีความแตกต่างกันตั้งแต่การดื่มเดือนละ แก้วไปจนถึงวันละ 4 แก้วขึ้นไป

โดยรวมแล้ว ทีมของดร.หวังไม่พบว่าการดื่มชามีความเกี่ยวพันกับการลดลงของความเสี่ยง มะเร็งรังไข่ ในการศึกษาฉบับหนึ่งชี้ว่า การดื่มชาอาจทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ขณะที่อีกฉบับพบความเกี่ยวพันกับการลดลงของความเสี่ยงดังกล่าว และอีก 7 ฉบับไม่พบนัยสำคัญในเรื่องนี้

ดร.หวังกล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างการวิจัยของจีนกับตะวันตกคือ ฝรั่งส่วนใหญ่ดื่มชาดำ ไม่ใช่ชาเขียวแบบคนจีน ขณะเดียวกัน ชาดำและชาเขียวอาจแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่ที่แตกต่างกัน เนื่องจากวิธีการผลิตที่ต่างกันทำให้ในชามีสารประกอบทางเคมีไม่เหมือนกัน

ดร.หวังและทีมงานเสนอว่าควรมีการศึกษาเพิ่มเติม โดยพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งรังไข่ อาทิ สภาพแวดล้อม พันธุกรรม ฮอร์โมน และรูปแบบการใช้ชีวิต ประกอบด้วย รวมถึงศึกษาว่าปัจจัยเหล่านี้ ตลอดจนถึงชาดำหรือชาเขียว มีผลต่ออัตราการเกิดมะเร็งรังไข่อย่างไร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) ศิลปะบนฟองนม



Photobucket

คำว่าลาเต้ (Latte) มาจากภาษาอิตาลี แปลว่า “นม” ถ้าเราไปที่อิตาลีแล้วสั่งกาแฟว่า Latte เราจะได้รับนมสดร้อน 1 แก้ว แต่ในประเทศอื่นจะเป็นที่เข้าใจในฐานะกาแฟใส่นมหรือมีชื่อเต็มๆ ของลาเต้ คือ “caffè e latte” แต่มักจะนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า Latte และอีกชื่อที่ใกล้เคียงกันก็คือ “café au lait” เป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายถึงกาแฟใส่นมเช่นกัน

ต้นกำเินิดของ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต)
Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) เกิดขึ้นครั้งแรกที่อิตาลี ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรมการทานกาแฟนั่นเอง ด้วยความที่อิตาลีเป็นเมืองแห่งศิลปะ Barista ของที่นี่เป็นผู้ที่มีวัยวุฒิและมีประสบการณ์อย่างมาก เมื่อเราไปที่ร้านกาแฟที่อิตาลี เราจะไม่ค่อยพบวัยรุ่นทำงานชงกาแฟสักเท่าไหร่ และด้วยความที่คนที่อิตาลีเป็นพวกที่มีศิลปะอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรเป็นศิลปะไปหมด ทำให้ Barista เองก็เกิดความคิดในการสร้างลวดลายบนเครื่องดื่มกาแฟขึ้นมาเช่นกัน ด้วยการเทโฟมนมลงไปในกาแฟดำ สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าผู้หลงไหลในความงามและศิลปะเป็นอย่างมาก จากนั้น Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) ก็เริ่มเป็นที่แพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริกาและประเทศอื่นๆ จนกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เมื่อนาย เดวิด โชเมอร์ เจ้าของร้านเอสเปรสโซ วิวาเซ ร้านกาแฟชื่อดังแห่งเมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เดินทางไปยังอิตาลีและเกิดความประทับใจในความงานและศิลปะ บนโฟมนมดังกล่าวจึงได้นำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) มาทดลองและดัดแปลงใช้ในร้านกาแฟของตน จนทำให้ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และเข้ามายังประเทศไทยในที่สุด

เทคนิคการทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) มีด้วยกัน 3 แบบ

1. การทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบลาก (Dragging) เป็นเทคนิคที่ใช้ การลาก การเขี่ย การวาด การหยอด เพื่อสร้างลายขึ้นมา เป็นเทคนิคที่ง่าย ใครๆ ก็สามารถทำได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยเทคนิคมากๆ อุปกรณ์ที่จำเป็นนอกจาก Espresso และนมคือ chocolate หรือ caramel และอุปกรณ์สำหรับลากเช่น แท่งคอกเทล หรือไม้จิ้มฟันก็ได้

Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบลาก (Dragging)

2. การทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบเท (Free Hand Pour) เทคนิคนี้ต้องอาศัยความชำนาญของ Barista อย่างมากทั้งความนิ่งของมือ สมาธิ การจับจังหวะ โดยการเทนมลงในถ้วยกาแฟที่มี Espresso อยู่ในถ้วย ด้วยลักษณะของการส่ายข้อมืออย่างเป็นจังหวะ หรือการประคองถ้วยจนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ ที่แตกต่างกันไป

Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบเท (Free Hand Pour)

ลวดลายที่เกิดการทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบเท (Free Hand Pour) ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Rosetta (รูปใบไม้) กับ Heart (รูปหัวใจ)

3. การทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบผสม (Pour and Draw) เทคนิคนี้คือการผสมผสานระหว่างการลาก (Dragging) กับการเท (Free Hand Pour) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการรสร้างลายที่ยากขึ้น การทำเทคนิคนี้ต้องอาศัยทั้งเทคนิคและความเร็ว เพราะต้องแข่งกับเวลา เพื่อให้กาแฟยังร้อนอยู่ก่อนเสิร์ฟถึงมือลูกค้า

ลวดลายที่เกิดการทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบผสม (Pour and Draw) ที่เป็นที่นิยมได้แก่ รูปสัตว์หรือตัวการ์ตูนต่างๆ



Monday, June 28, 2010

เปิดตำนานกาแฟ

เปิดตำนานกาแฟ

ตำนานของกาแฟมีอยู่หลายเรื่อง แต่ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องราวของนายคาลดี เด็กเลี้ยงแกะชาวเอธิโอเปีย โดยปกติเป็นประจำทุกวัน นาย คาลดี จะต้อนฝูงแพะออกไปหาอาหารกินตามทุ่งหญ้าเนินเขาต่างๆ วันหนึ่งนาย คาลดี ได้สังเกตเห็นว่าแพะที่ได้เลี้ยงไว้ กระโดดโลดเต้นอย่างคึกคะนอง จึงตามฝูงแพะขึ้นไป ก็พบว่าแพะเหล่านั้นกำลังกินเมล็ดพืชเล็กๆ สีแดง ที่ขึ้นอยู่ในแถบนั้น ดังนั้น นายคาลดี จึงได้ลองกินเมล็ดพืชเล็กๆ สีแดงดูบ้าง เพราะอยากรู้ว่าทำไมแพะที่เลี้ยงไว้เหล่านั้น ถึงได้กระโดดโลดเต้นอย่างคึกคะนองอย่างนั้น หลังจากที่ได้กินเมล็ดพืชเล็กๆ สีแดง แล้วนายคาลดี ก็ได้ค้นพบคำตอบว่า เมล็ดพืชเล็กๆ สีแดงนี้ มันทำให้มีความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาตลอดทั้งวัน และไม่มีอาการง่วงนอน นายคาลดีจึงได้ประกาศบอกใครต่อใครในหมู่บ้านถึงความมหัศจรรย์ของเมล็ดพืชเล็กๆ สีแดง จนเป็นที่กล่าวขานและขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จากประเทศหนึ่งไปสู้อีกประเทศหนึ่ง

ทายนิสัย จากกาแฟถ้วยโปรด



ทายนิสัย จากกาแฟถ้วยโปรด

รสชาติกาแฟ สุดโปรดของแต่ละคน สามารถนำมาทายนิสัยตัวเองหรือคนใกล้ตัวได้ ใครชอบรสชาติใดก็ลองไปอ่านกันดูครับ

ชอบกาแฟ ขมๆ
คนที่ชอบกาแฟรสเข้มจัดนั้นมักจะเป็นคนเอาการเอางานช่างคิด ช่างวางแผนมีหัวทางธุรกิจ และชอบการทำงานที่ท้าทาย แต่ก็มักเป็นคนที่มีความเครียดเสมอๆ เพราะเฝ้าครุ่นคิดแต่หนทางที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองหวัง

ชอบกาแฟรสชาติหวานมัน
คนที่ชอบกาแฟรสชาติเข้มข้น ทั้งหวานและมันถึงใจแสดงว่าเป็นคนที่เปิดเผย ใจกว้าง ชอบความสนุกสนานในชีวิต เป็นคนร่าเริง ช่างกระเซ้าเย้าแหย่ นอกจากนั้น ยังเป็นคนรักความยุติธรรม ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ และจะรักษาสิทธิของตัวเองเสมอ

ชอบกาแฟที่กลิ่นหอมแรง
ส่วนคนที่ชอบกาแฟที่มีกลิ่นหอมแรงๆ เข้มข้น แสดงว่าเป็นคนที่ช่างเลือก ชอบแต่สิ่งที่ดีที่สุด มักพิถีพิถันต่อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เป็นคนรักเพื่อน มีทัศนะที่ชัดเจนต่อสิ่งต่างๆ และชอบการอยู่ในสังคมที่มีแต่คนทัศนะตรงกัน

ชอบกาแฟรสอ่อนๆ
คนที่ชอบกาแฟรสชาติอ่อนๆ ขอให้มีกลิ่นกาแฟก็เป็นอันใช้ได้นั้น แสดงว่าเป็นคนที่ชอบความสงบ สนใจสุขภาพ ชอบความสะอาด และความปลอดโปร่งสบายกาย สบายใจ นอกจากนั้น ยังเป็นคนเคารพความเห็นของผู้อื่น ไม่ชอบโต้แย้งกับใครโดยไม่จำเป็น

ชอบกาแฟหวานจัด
คนที่ชอบกาแฟหวานมากๆ เรียกว่าหวานนำรสอื่นๆ มาเลยนั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีอารมณ์เปราะบาง ปรวนแปรง่าย เป็นคนที่มักจะมีความใฝ่ฝันเกี่ยวกับชีวิตตัวเองที่เป็นอยู่ อยากมีชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก อยากเป็นคนพิเศษของใครซักคน

ชอบกาแฟรสชาติพอดีๆ
ส่วนคนที่ชอบกาแฟรสชาติพอดีๆ ไม่หวานเกินไป ไม่มันเกินไป แสดงว่าเป็นคนที่ชอบชีวิตที่ลงตัว มีความพอดีในจิตใจ ไม่ชอบการแก่งแย่งแข่งขัน ไม่ชอบการต่อสู้เพื่อให้รู้ผลแพ้ ชนะ มักเป็นคนดูแลสุขภาพ ให้ความสนใจเรื่องการเรียน การศึกษา ชอบการค้นคว้า
หาความรู้เพิ่มเติม

ชอบกาแฟร้อนๆ
ส่วนคนที่ชอบกาแฟร้อนๆ นั้น มักเป็นคนที่หาความสุขได้อย่างง่ายๆ ชอบความมีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง เป็นคนตื่นตัวเร็วและปรับตัวเก่ง สามารถนำเอาประสบการณ์ต่างๆ ของตัวเองมาปรับใช้และให้ข้อคิดที่ดีกับคนอื่นๆ

ชอบกาแฟเย็น
ส่วนคนที่ไม่ชอบกาแฟร้อนๆ อุ่นๆ แต่ชอบกาแฟเย็นเจี๊ยบชื่นใจ แสดงว่าเป็นคนชอบการมีเพื่อนเยอะๆ ชอบการได้พักผ่อน ผ่อนคลาย เมื่อเวลาทำงานก็ทำงานก็ตั้งใจทุ่มเท แต่พอเวลาพักก็หาความสุขให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ เป็นคนร่าเริงเช่นกัน ใครอยู่ใกล้ก็มักเบิกบานไปด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa