
คำว่าลาเต้ (Latte) มาจากภาษาอิตาลี แปลว่า “นม” ถ้าเราไปที่อิตาลีแล้วสั่งกาแฟว่า Latte เราจะได้รับนมสดร้อน 1 แก้ว แต่ในประเทศอื่นจะเป็นที่เข้าใจในฐานะกาแฟใส่นมหรือมีชื่อเต็มๆ ของลาเต้ คือ “caffè e latte” แต่มักจะนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า Latte และอีกชื่อที่ใกล้เคียงกันก็คือ “café au lait” เป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งหมายถึงกาแฟใส่นมเช่นกัน
ต้นกำเินิดของ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต)
Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) เกิดขึ้นครั้งแรกที่อิตาลี ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรมการทานกาแฟนั่นเอง ด้วยความที่อิตาลีเป็นเมืองแห่งศิลปะ Barista ของที่นี่เป็นผู้ที่มีวัยวุฒิและมีประสบการณ์อย่างมาก เมื่อเราไปที่ร้านกาแฟที่อิตาลี เราจะไม่ค่อยพบวัยรุ่นทำงานชงกาแฟสักเท่าไหร่ และด้วยความที่คนที่อิตาลีเป็นพวกที่มีศิลปะอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรเป็นศิลปะไปหมด ทำให้ Barista เองก็เกิดความคิดในการสร้างลวดลายบนเครื่องดื่มกาแฟขึ้นมาเช่นกัน ด้วยการเทโฟมนมลงไปในกาแฟดำ สร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าผู้หลงไหลในความงามและศิลปะเป็นอย่างมาก จากนั้น Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) ก็เริ่มเป็นที่แพร่หลายไปทั่วยุโรป อเมริกาและประเทศอื่นๆ จนกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก เมื่อนาย เดวิด โชเมอร์ เจ้าของร้านเอสเปรสโซ วิวาเซ ร้านกาแฟชื่อดังแห่งเมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เดินทางไปยังอิตาลีและเกิดความประทับใจในความงานและศิลปะ บนโฟมนมดังกล่าวจึงได้นำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) มาทดลองและดัดแปลงใช้ในร้านกาแฟของตน จนทำให้ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และเข้ามายังประเทศไทยในที่สุดเทคนิคการทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) มีด้วยกัน 3 แบบ
1. การทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบลาก (Dragging) เป็นเทคนิคที่ใช้ การลาก การเขี่ย การวาด การหยอด เพื่อสร้างลายขึ้นมา เป็นเทคนิคที่ง่าย ใครๆ ก็สามารถทำได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยเทคนิคมากๆ อุปกรณ์ที่จำเป็นนอกจาก Espresso และนมคือ chocolate หรือ caramel และอุปกรณ์สำหรับลากเช่น แท่งคอกเทล หรือไม้จิ้มฟันก็ได้

2. การทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบเท (Free Hand Pour) เทคนิคนี้ต้องอาศัยความชำนาญของ Barista อย่างมากทั้งความนิ่งของมือ สมาธิ การจับจังหวะ โดยการเทนมลงในถ้วยกาแฟที่มี Espresso อยู่ในถ้วย ด้วยลักษณะของการส่ายข้อมืออย่างเป็นจังหวะ หรือการประคองถ้วยจนเกิดเป็นลวดลายต่างๆ ที่แตกต่างกันไป

ลวดลายที่เกิดการทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบเท (Free Hand Pour) ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Rosetta (รูปใบไม้) กับ Heart (รูปหัวใจ)
3. การทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบผสม (Pour and Draw) เทคนิคนี้คือการผสมผสานระหว่างการลาก (Dragging) กับการเท (Free Hand Pour) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการรสร้างลายที่ยากขึ้น การทำเทคนิคนี้ต้องอาศัยทั้งเทคนิคและความเร็ว เพราะต้องแข่งกับเวลา เพื่อให้กาแฟยังร้อนอยู่ก่อนเสิร์ฟถึงมือลูกค้า
ลวดลายที่เกิดการทำ Latte Art (ลาเต้ อาร์ต) แบบผสม (Pour and Draw) ที่เป็นที่นิยมได้แก่ รูปสัตว์หรือตัวการ์ตูนต่างๆ
No comments:
Post a Comment